iOS 11 สำหรับ iPad ทำอะไรได้บ้าง?

iOS 11 เป็นเวอร์ชันล่าสุดของบริษัท Apple ชูจุดเด่นด้านความสามารถของระบบในการทำงานร่วมกับ Machine Learning รวมถึงความสามารถในการแสดงผลเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ด้วยประสิทธิภาพสูงสุด

รุ่นไหนบ้างที่สามารถอัพเดตได้

iPad

  • iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว รุ่นที่ 2
  • iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว รุ่นที่ 1
  • iPad Pro รุ่น 10.5 นิ้ว
  • iPad Pro รุ่น 9.7 นิ้ว
  • iPad Air 2
  • iPad Air
  • iPad รุ่นที่ 5
  • iPad mini 4
  • iPad mini 3
  • iPad mini 2

สำหรับ iPad

     1. Dock แบบใหม่ ทำงานเหมือนไฮบริดแท็บเล็ต

มีการเพิ่มแถบ Dock ด้านล่างหน้าจอขึ้นมา ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น ลากภาพที่เพิ่งเปิดใช้มาลงในคีย์โน้ตได้ทันที

     2. Multitasking ใช้งานหลายๆ เเอปฯ ได้พร้อมกัน  

ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานบนแอปพลิเคชันหลายๆ แอปฯ ได้พร้อมกัน ผ่านการแยกหน้าจอของ iPad ออกเป็น 2 จอ (Split View)

     3. Drag and Drop ลากข้อความและภาพแบบง่ายๆ

ตอนนี้ใน iPad คุณสามารถลาก URL เว็บไซต์ หรือภาพจากอัลบั้มรูปมาวางลงในอีเมลได้อย่างอิสระ

     4. Apple Pencil ที่จดจำลายมือผู้ใช้ได้

รองรับการใช้งานแบบ Screenshot Writing เขียนทับไฟล์รูปได้ทันที และยังใช้ระบบ Machine Learning ช่วยจดจำลายมือของผู้ใช้งานได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการอัพเดต

     1.สำรองข้อมูลก่อนอัพเดตเสมอ

ก่อนการอัพเดตเวอร์ชันทุกครั้งควรสำรองข้อมูลภายในโทรศัพท์ด้วยการแบ็กอัพ (Backup) ไว้ก่อนเสมอ เพื่อป้องกันกรณีข้อมูลสูญหาย โดยสามารถเลือกแบ็กอัพข้อมูลทั้งหมดได้จาก iTunes โดยตรง

     2. แบ็กอัพ และ รีสโตร์ ไม่เหมือนกัน

การแบ็กอัพคือการสำรองข้อมูลในตัวเครื่องเพื่อป้องกันกรณีข้อมูลสูญหายก่อนทำการอัพเดตระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ ส่วนการรีสโตร์ (Restore) คือการล้างข้อมูลภายในเครื่องทิ้งทั้งหมดเพื่อติดตั้งระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่

     3. อัพเดตผ่าน Wi-Fi ง่าย… แต่ก็พบข้อผิดพลาดได้ง่ายเช่นกัน

ถึงแม้การอัพเดต iOS แบบไร้สายผ่าน Wi-Fi จะสามารถทำได้ง่ายและสะดวก แต่การอัพเดตแบบไร้สายก็มาพร้อมกับปัญหาจุกจิกได้เช่นกัน หากระดับความแรงของสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียรก็อาจทำให้การอัพเดตระบบปฏิบัติการล้มเหลว เช่นเดียวกันกับการที่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ให้เต็มไว้ก่อนเลือกอัพเดต

Copyright © 2019. All rights reserved.